เมื่อเสียงสนทนาของสมาชิกในบ้านเริ่มจางหายไป ความสุขในชีวิตก็อาจจะลดลงตามไปด้วย การสูญเสียการได้ยินไม่ใช่เพียงเรื่องของ "ความดัง" แต่เป็นเรื่องของ "ความชัดเจน" และคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หลายคนอาจคิดว่าปัญหานี้เป็นเรื่องไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การป้องกันและดูแลสุขภาพการได้ยินตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไมการปรึกษานักแก้ไขการได้ยิน (Audiologist) จะช่วยคุณได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าประชากรโลกราว 5% หรือประมาณ 360 ล้านคน มีปัญหาการได้ยินในระดับต่างๆ ซึ่งหมายความว่าทุกๆ 1 ใน 20 คนที่คุณรู้จัก อาจกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ การมองข้ามปัญหาการได้ยินอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ใหญ่หลวงกว่าที่คุณคิด เพราะการได้ยินมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาพโดยรวม ทั้งกายและใจ การศึกษาจากหลากหลายสถาบันทั่วโลก เช่น งานวิจัยของ Johns Hopkins Medicine ชี้ให้เห็นว่า การสูญเสียการได้ยินไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวและถอยห่างจากสังคม แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ มีหลักฐานที่เชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างการสูญเสียการได้ยินกับ ภาวะสมองเสื่อม (Dementia), ความถดถอยของสมอง (Cognitive Decline), และ ภาวะซึมเศร้า (Depression)
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การสูญเสียการได้ยิน แม้ในระดับที่ไม่รุนแรง ก็สามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองได้ งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์อย่าง JAMA Otolaryngology พบว่าผู้ที่มีปัญหาการได้ยินระดับน้อยมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในขณะที่ผู้ที่มีการสูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง ความเสี่ยงจะสูงขึ้นถึง 5 เท่า
ศูนย์เครื่องช่วยฟังยินดี เข้าใจดีว่าการป้องกันสำคัญกว่าการแก้ไข ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่เริ่มรู้สึกว่าได้ยินไม่ชัดในที่ที่มีเสียงรบกวน, ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป, ผู้ที่ใส่เครื่องช่วยฟังอยู่ หรือผู้ที่ไม่ได้ตรวจการได้ยินมานานเกินหนึ่งปี นักแก้ไขการได้ยินจะดูแลสุขภาพการได้ยินให้กับคุณดังต่อไปนี้ .-
เพื่อประเมินความสามารถในการได้ยินในความถี่และระดับความดังต่างๆ
ตรวจสอบสุขอนามัยและสิ่งผิดปกติภายในช่องหู